งานระบบเครื่องดูดควัน ปล่องดูดควัน คืออะไร?
งานระบบปล่องดูดควัน (Exhaust Hood System) คือระบบที่ออกแบบมาเพื่อควบคุมและระบายควัน กลิ่น ความร้อน และสิ่งสกปรกที่เกิดขึ้นจากการทำอาหารหรือกระบวนการผลิตในโรงงานอุตสาหกรรม โดยเฉพาะในครัวร้านอาหารหรือครัวโรงแรม ระบบนี้ช่วยเพิ่มความปลอดภัย ความสะดวกสบาย และลดผลกระทบต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม
หากมีคำถามเพิ่มเติมเกี่ยวกับ การออกแบบครัว โปรดแจ้งให้ทราบได้เลยค่ะ! สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมกรุณา ติดต่อ
องค์ประกอบของระบบปล่องดูดควัน
-
ตัวดูดควัน (Hood)
- ส่วนที่ติดตั้งเหนือแหล่งกำเนิดควัน (เช่น เตาแก๊ส เตาไฟฟ้า หรือเครื่องจักรในโรงงาน)
- มีหลากหลายรูปแบบ เช่น แบบแขวนติดผนัง (Wall-Mounted) หรือแบบแขวนกลาง (Island)
-
พัดลมดูดควัน (Exhaust Fan)
- ทำหน้าที่ดูดควันและกลิ่นออกจากบริเวณใช้งาน
- สามารถติดตั้งได้ทั้งแบบในตัวปล่องหรือแยกจากปล่อง
-
ระบบกรองอากาศ (Filters)
- มีหน้าที่กรองไขมันและสิ่งปนเปื้อนในควัน
- ตัวกรองอาจเป็นแบบตะแกรงโลหะ (Baffle Filter) หรือระบบกรองด้วยถ่าน (Charcoal Filter)
-
ปล่องระบายอากาศ (Ductwork)
- ท่อลำเลียงควันจากตัวดูดควันออกไปยังจุดระบายอากาศ
- ต้องออกแบบให้เหมาะสมกับการระบายอากาศและลดเสียงรบกวน
-
ระบบควบคุม (Control System)
- ใช้ในการเปิด-ปิดหรือปรับระดับความแรงของการดูดควัน
- บางระบบมีเซนเซอร์อัจฉริยะสำหรับตรวจจับควันหรือความร้อน
ประโยชน์ของระบบปล่องดูดควัน
- ควบคุมคุณภาพอากาศ
ลดปริมาณควัน กลิ่น และความร้อนในพื้นที่ใช้งาน - เพิ่มความปลอดภัย
ลดการสะสมของไขมันที่อาจก่อให้เกิดไฟไหม้ - ลดการสะสมของสารพิษ
กำจัดสารที่อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพ เช่น คาร์บอนมอนอกไซด์ - เสริมสุขลักษณะและความสะดวกสบาย
ทำให้พื้นที่ทำงานมีอากาศถ่ายเทสะดวก
การเลือกใช้งาน
- สำหรับครัวบ้าน: ใช้ระบบขนาดเล็กที่ติดตั้งง่าย
- สำหรับครัวร้านอาหาร: ต้องการระบบที่มีประสิทธิภาพสูงและทนทาน
- ในโรงงานอุตสาหกรรม: จำเป็นต้องคำนึงถึงประเภทควันที่ต้องการกำจัดและขนาดพื้นที่ในการติดตั้ง
หากต้องการรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับการออกแบบหรือการติดตั้ง สามารถแจ้งเพิ่มเติมได้นะครับ!
ก่อนเปิดร้านอาหาร การวางแผน งานระบบปล่องดูดควัน อย่างเหมาะสมเป็นเรื่องสำคัญ เนื่องจากช่วยควบคุมคุณภาพอากาศในครัว ลดปัญหาควัน กลิ่น และเพิ่มความปลอดภัยในพื้นที่ทำงาน นี่คือสิ่งที่ต้องรู้
1. ข้อกำหนดและมาตรฐานตามกฎหมาย
- ข้อกำหนดท้องถิ่น: ตรวจสอบว่าพื้นที่ของคุณมีข้อกำหนดเกี่ยวกับระบบระบายอากาศและปล่องดูดควันหรือไม่ เช่น ความสูงของปล่อง ความแรงของพัดลม
- มาตรฐานความปลอดภัย:
- ปล่องดูดควันต้องผลิตจากวัสดุที่ทนไฟ เช่น สแตนเลส
- ต้องมีระบบป้องกันไฟไหม้ เช่น ถังดับเพลิงอัตโนมัติในตัวปล่อง
- การตรวจสอบจากหน่วยงานราชการ: ต้องผ่านการตรวจสอบก่อนเปิดร้าน เช่น จากเทศบาลหรือสำนักงานสิ่งแวดล้อม
2. การออกแบบและวางแผนระบบ
- ขนาดของปล่องและพัดลม:
คำนวณขนาดปล่องและความแรงพัดลมตามขนาดครัวและจำนวนเตา- ครัวเล็ก: พัดลมขนาด 300-500 CFM
- ครัวใหญ่: มากกว่า 1000 CFM
- ตำแหน่งการติดตั้ง:
- ติดตั้งปล่องให้ใกล้กับแหล่งควัน (เตา) มากที่สุด
- ต้องมีปลายปล่องสูงกว่าพื้นที่โดยรอบเพื่อป้องกันกลิ่นรบกวน
- ระบบกรองไขมัน:
- ใช้ตัวกรองที่ถอดล้างง่ายเพื่อลดการสะสมของไขมัน
- หากมีควันน้ำมันมาก อาจต้องใช้ระบบกรองถ่าน (Carbon Filter)
3. การเลือกวัสดุและอุปกรณ์
- วัสดุปล่อง:
- สแตนเลสเกรด 304 หรือ 316 ทนต่อความร้อนและการกัดกร่อน
- พัดลมดูดควัน:
- เลือกแบบ Centrifugal Fan หรือ Axial Fan ขึ้นอยู่กับระยะการลำเลียง
- ตัวกรอง:
- กรองแบบ Baffle Filter เหมาะสำหรับครัวที่มีการปรุงอาหารด้วยน้ำมัน
- ตัวกรอง HEPA หรือ Carbon สำหรับกรองกลิ่นและสารพิษ
4. การบำรุงรักษาและทำความสะอาด
- ทำความสะอาดตัวกรอง:
ถอดล้างทุก 1-2 สัปดาห์หรือบ่อยขึ้นตามการใช้งาน - ตรวจสอบปล่องและพัดลม:
ตรวจสอบการสะสมของคราบไขมันและสิ่งอุดตันในปล่องทุก 3-6 เดือน - บริการจากมืออาชีพ:
ควรใช้บริการทำความสะอาดระบบปล่องจากบริษัทที่มีประสบการณ์อย่างน้อยปีละ 1-2 ครั้ง
5. การบริหารต้นทุน
- ต้นทุนเริ่มต้น:
ระบบปล่องดูดควันมาตรฐานมีราคาเริ่มต้นที่ประมาณ 30,000-100,000 บาท ขึ้นอยู่กับขนาดและความซับซ้อน - ค่าใช้จ่ายประจำ:
รวมค่าไฟฟ้าของพัดลม ค่าทำความสะอาด และการซ่อมบำรุง - ประหยัดพลังงาน:
เลือกพัดลมที่มีระบบ Inverter ช่วยลดค่าไฟฟ้า
6. การเลือกผู้ติดตั้งที่เชี่ยวชาญ
- เลือกบริษัทที่มีประสบการณ์ด้านงานระบบครัวโดยเฉพาะ
- ขอคำแนะนำและออกแบบที่เหมาะสมกับพื้นที่ครัวของคุณ
- ตรวจสอบผลงานหรือรีวิวจากลูกค้าคนอื่น
การเตรียมงานระบบปล่องดูดควันที่ดีช่วยให้ร้านอาหารดำเนินกิจการได้ราบรื่น ปลอดภัย และมีประสิทธิภาพ หากต้องการคำแนะนำเพิ่มเติมเกี่ยวกับการติดตั้งหรือการเลือกอุปกรณ์ บอกได้เลยครับ
ระบบเติมอากาศ (Make-up Air System) คือระบบที่ออกแบบมาเพื่อเพิ่มปริมาณอากาศบริสุทธิ์เข้าสู่พื้นที่ภายในอาคารหรือพื้นที่ปิด เช่น ครัว ร้านอาหาร โรงงาน หรือสำนักงาน โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่มีการดูดอากาศออกไปจำนวนมาก เช่น การใช้งานระบบปล่องดูดควันหรือระบบระบายอากาศ
วัตถุประสงค์ของระบบเติมอากาศ
-
รักษาสมดุลของแรงดันอากาศ
- เมื่อมีการดูดอากาศออกจากพื้นที่ ระบบเติมอากาศจะช่วยเติมอากาศใหม่เข้ามาเพื่อป้องกันการเกิดแรงดันอากาศติดลบ (Negative Pressure) ซึ่งอาจส่งผลให้ประตูหรือหน้าต่างดูดเข้าหรือยากต่อการเปิด-ปิด
-
เพิ่มคุณภาพอากาศ
- ระบบเติมอากาศช่วยนำอากาศบริสุทธิ์เข้ามาแทนที่อากาศเสีย ลดความเข้มข้นของควัน กลิ่น หรือสารปนเปื้อนในพื้นที่
-
เสริมประสิทธิภาพของระบบระบายอากาศ
- หากไม่มีการเติมอากาศ ระบบดูดควันหรือระบายอากาศอาจทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ เพราะไม่มีอากาศใหม่เข้ามาแทน
ส่วนประกอบของระบบเติมอากาศ
-
พัดลมเติมอากาศ (Make-up Air Fan)
- ทำหน้าที่ดูดอากาศจากภายนอกเข้ามาในอาคาร
- มีทั้งแบบติดตั้งภายใน (Inline Fan) และภายนอก (External Fan)
-
แหล่งอากาศบริสุทธิ์ (Air Intake Source)
- จุดที่ระบบดึงอากาศจากภายนอก เช่น ท่ออากาศหรือช่องเปิด
- ต้องติดตั้งในบริเวณที่ไม่มีฝุ่นหรือมลพิษ
-
ระบบกรองอากาศ (Air Filters)
- กรองฝุ่นละอองและสิ่งสกปรกในอากาศที่เข้ามา
- อาจเป็นตัวกรองแบบ HEPA, Carbon หรือ Electrostatic
-
ตัวควบคุมแรงดันอากาศ (Pressure Balancing System)
- ช่วยรักษาความสมดุลระหว่างอากาศเข้าและออกในพื้นที่
-
ระบบทำความเย็น/ร้อน (Optional)
- อากาศที่เติมเข้ามาอาจผ่านระบบปรับอุณหภูมิ (Cooling/Heating) เพื่อรักษาความสบาย
ประโยชน์ของระบบเติมอากาศ
-
ปรับปรุงคุณภาพอากาศภายในอาคาร (Indoor Air Quality)
- ลดความเข้มข้นของควัน กลิ่น และก๊าซพิษ
- เพิ่มออกซิเจนในพื้นที่ปิด
-
ลดปัญหาสุขภาพ
- ลดโอกาสการเกิดปัญหาสุขภาพ เช่น ภูมิแพ้ หายใจลำบาก หรือการสะสมสารพิษ
-
ประหยัดพลังงาน
- ช่วยให้ระบบระบายอากาศหรือระบบปรับอากาศทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
-
ลดความชื้นและความร้อนสะสม
- เพิ่มความสดชื่นและสบายในพื้นที่
การใช้งานระบบเติมอากาศในร้านอาหารหรือโรงงาน
- ร้านอาหาร:
- จำเป็นในครัวที่มีการดูดควันจากเตาปริมาณมาก
- ป้องกันปัญหาควันฟุ้งกระจายและกลิ่นกลับมาสู่พื้นที่รับประทานอาหาร
- โรงงาน:
- เติมอากาศบริสุทธิ์ในพื้นที่ที่มีเครื่องจักรปล่อยความร้อนหรือสารเคมี
- สำนักงานหรือบ้าน:
- ใช้เสริมการไหลเวียนของอากาศในพื้นที่ที่ปิดมิดชิดหรือมีการใช้งานเครื่องปรับอากาศ
ข้อควรพิจารณาในการติดตั้ง
- ขนาดของพื้นที่
- คำนวณปริมาณอากาศที่ต้องเติมเพื่อให้เหมาะสมกับพื้นที่
- ทิศทางลมและตำแหน่งติดตั้ง
- เลือกตำแหน่งติดตั้งที่เหมาะสมเพื่อลดการปนเปื้อนจากภายนอก
- การบำรุงรักษา
- ทำความสะอาดตัวกรองอากาศและตรวจสอบพัดลมอย่างสม่ำเสมอ